สัตว์ป่าสงวนตามในพระราชบัญญัติฉบับใหม่หมายถึงสัตว์ป่าที่หายากตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติฉบับนี้ และตามที่กำหนดโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ทำให้สามารถเปลี่ยนแปลงชนิดสัตว์ป่าสงวนได้โดยสะดวก
โดยออกเป็นพระราชกฤษฎีกาแก้ไข หรือเพิ่มเติมเท่านั้น
ไม่ต้องถึงกับต้องแก้ไขพระราชบัญญัติอย่างของเดิม
ทั้งนี้ได้มีการเพิ่มเติมชนิดสัตว์ป่าที่มีสภาพล่อแหลมต่อการสูญพันธุ์ อย่างยิ่ง ๗
ชนิด และตัดสัตว์ป่าที่ไม่อยู่ในสถานะใกล้จะสูญพันธุ์ เนื่องจากการที่สามารถเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ได้มาก
๑ ชนิด คือ เนื้อทราย
รวมกับสัตว์ป่าสงวนเดิม ๘ ชนิด รวมเป็น ๑๕
ชนิด ได้แก่ นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร แรด
กระซู่ กูปรี ควายป่า ละองหรือละมั่ง สมัน เลียงผา กวางผา นกแต้วแล้วท้องดำ
นกกระเรียน แมวลายหินอ่อน สมเสร็จ เก้งหม้อ และพะยูน
นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร
ลักษณะ
นกนางแอ่นที่มีลำตัวยาว ๑๕ เซนติเมตร
สีโดยทั่วไปมีสีดำเหลือบเขียวแกมฟ้าโคนหางมีแถบสีขาว ลักษณะเด่นได้แก่
มีวงสีขาวรอบตา ทำให้ดูมีดวงตาโปนโตออกมาจึงเรียกว่านกตาพอง นกที่โตเต็มวัย
มีแกนขนหางคู่กลางยื่นยาวออกมา ๒เส้น
อุปนิสัย
แหล่งผสมพันธุ์วางไข่ และที่อาศัยในฤดูร้อนยังไม่ทราบ
ในบริเวณบึงบอระเพ็ดนกเจ้าหญิงสิรินธรจะเกาะนอน อยู่ในฝูงนกนางแอ่นชนิดอื่นๆ
ที่เกาะอยู่ตามใบอ้อและใบสนุ่นภายในบึงบอระเพ็ด บางครั้งก็พบอยู่ในกลุ่มนกกระจาบ
และนกจาบปีกอ่อนกลุ่มนกเหล่านี้มีจำนวนนับพันตัวอาหารเชื่อได้ว่าได้แก่แมลงที่โฉบจับได้ในอากาศ
ที่อยู่อาศัย
อาศัยอยู่ตามดงอ้อและพืชน้ำในบริเวณบึงบอระเพ็ด
เขตแพร่กระจาย
พบเฉพาะในประเทศไทย
พบในช่วงเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนมีนาคมซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาว
สถานภาพ
นกชนิดนี้สำรวจพบครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี
พ.ศ.๒๕๑๑ จังหวัดนครสวรรค์หลังจากการค้นพบครั้งแรกแล้วมีรายงานพบอีก ๓ ครั้ง
แต่มีเพียง ๖ ตัวเท่านั้นนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร
เป็นสัตว์ป่าสงวนตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าพ.ศ.๒๕๓๕
แรด
ลักษณะ
แรดจัดเป็นสัตว์จำพวกมีกีบ คือมีเล็บ ๓
เล็บทั้งเท้าหน้าและเท้าหลังตัวโตเต็มวัยมีความสูงที่ไหล่ ๑.๖-๑.๘ เมตร
น้ำหนักตัว๑,๕๐๐-๒,๐๐๐ กิโลกรัม
แรดมีหนังหนาและมีขนแข็งขึ้นห่างๆสีพื้นเป็นสีเทาออกดำ ส่วนหลังมีส่วนพับของหนัง ๓
รอยบริเวณหัวไหล่ด้านหลังของขาคู่หน้า และด้านหน้าของขาคู่หลังแรดตัวผู้มีนอเดียวยาวไม่เกิน
๒๕ เซนติเมตรส่วนตัวเมียจะเห็นเป็นเพียงปุ่มนูนขึ้นมา
อุปนิสัย
ในอดีตเคยพบแรดหากินร่วมเป็นฝูง
แต่ในปัจจุบันแรดหากินตัวเดียวโดดๆหรืออยู่เป็นคู่ในฤดูผสมพันธุ์
อาหารของแรดได้แก่ ยอดไม้ ใบไม้ กิ่งไม้และผลไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นดิน แรดไม่มีฤดูผสมพันธุ์ที่แน่นอนจึงสามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดปี
ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว ตั้งท่องนานประมาณ ๑๖เดือน
ที่อยู่อาศัย
แรดอาศัยอยู่เฉพาะในบริเวณป่าดิบชื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์หรือตามป่าทึบริมฝั่งทะเล
ส่วนใหญ่จะหากินอยู่ตามพื้นที่ราบไม่ค่อยขึ้นบนภูเขาสูง
เขตแพร่กระจาย
แรดมีเขตกระจายตั้งแต่ประเทศบังคลาเทศ พม่า ไทย
ลาว เขมร เวียดนามลงไปทางแหลมมลายู สุมาตรา และชวา
ปัจจุบันพบน้อยมากจนกล่าวได้ว่าเกือบจะหมดไปจากผืนแผ่นดินใหญ่ของทวีปเอเชียแล้วเชื่อว่ายังอาจจะมีคงเหลืออยู่บ้างทางเทือกเขาตะนาวศรีและในป่าลึกตามแนวรอยต่อจังหวัดระนอง
พังงาและสุราษฎร์ธานี
สถานภาพ
ปัจจุบันแรดจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕
ชนิดของประเทศไทยและจัดอยู่ในAppendix 1 ของอนุสัญญาCITES ทั้งยังเป็นสัตว์ป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ตามU.S.Endanger
Species
กระซู่
ลักษณะ
กระซู่เป็นสัตว์จำพวกเดียวกับแรด
แต่มีลักษณะลำตัวเล็กกว่าตัวโตเต็มวัยมีความสูงที่ไหล่ ๑-๑.๕ เมตร น้ำหนักประมาณ ๑,๐๐๐
กิโลกรัมมีหนังหนาและมีขนขึ้นปกคลุมทั้งตัว
โดยเฉพาะในตัวที่มีอายุน้อยซึ่งขนจะลดน้อยลงเมื่อมีอายุมากขึ้น
สีลำตัวโดยทั่วไปออกเป็นสีเทา คล้ายสีขี้เถ้าด้านหลังลำตัว
จะปรากฏรอยพับของหนังเพียงพับเดียว
ตรงบริเวณด้านหลังของขาคู่หน้ากระซู่ทั้งสองเพศมีนอ ๒ นอ นอหน้ามีความยาวประมาณ ๒๕
เซนติเมตรส่วนนอหลังมีความยาวไม่เกิน ๑๐
เซนติเมตรหรือเป็นเพียงตุ่มนูนขึ้นมาในตัวเมีย
อุปนิสัย
กระซู่ปีนเขาได้เก่ง
มีประสาทรับกลิ่นดีมาก ออกหากินในเวลากลางคืน อาหาร ได้แก่พวกใบไม้
และผลไม้ป่าบางชนิด ปกติกระซู่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวยกเว้นในฤดูผสมพันธุ์
หรือตัวเมียเลี้ยงลูกอ่อน ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว มีระยะตั้งท้อง๗-๘ เดือน
ในที่เลี้ยงกระซู่มีอายุยืน ๓๒ปี
ที่อยู่อาศัย
กระซู่อาศัยอยู่ตามป่าเขาที่มีความหนารกทึบ
ลงมาอยู่ในป่าที่ราบต่ำในตอนปลายฤดูฝนซึ่งในระยะนั้นมีปรักและน้ำอยู่ทั่วไป
เขตแพร่กระจาย
กระซู่มีเขตแพร่กระจายตั้งแต่แคว้นอัสสัมในประเทศอินเดีย
บังคลาเทศ พม่า ไทยเวียดนาม มลายู สุมาตรา และบอเนียวในประเทศไทยมีรายงานว่าพบกระซู่อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหลายแห่งได้แก่
ภูเขียวจังหวัดชัยภูมิ เขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรี ห้วยขาแข้ง
จังหวัดอุทัยธานีทุ่งใหญ่นเรศวร จังหวัดกาญจนบุรี และคลองแสง
จังหวัดสุราษฏร์ธานีและในบริเวณอุทยานแห่งชาติหลายแห่ง ได้แก่ แก่งกระจาน
จังหวัดเพชรบุรีและเขื่อนบางลาง
จังหวัดยะลาและบริเวณป่ารอยต่อระหว่างประเทศกับมาเลเซีย
สถานภาพ
ปัจจุบันกระซู่จัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕
ชนิดของประเทศไทย อนุสัญญา CITES จัดไว้ใน Appendix I และ U.S.
Endanger Species Act จัดไว้ในพวกที่ใกล้จะสูญพันธุ์
กูปรี
ลักษณะ
กูปรีเป็นสัตว์ป่าชนิดหนึ่ง
เช่นเดียวกับ กระทิงและวัวแดงเมื่อโตเต็มที่มีความสูงที่ไหล่ ๑.๗-๑.๙ เมตร น้ำหนัก
๗๐๐-๙๐๐ กิโลกรัมตัวผู้มีขนาดลำตัวใหญ่กว่าตัวเมียมาก
สีโดยทั่วไปเป็นสีเทาเข้มเกือบดำ ขาทั้ง ๔มีถุงเท้าสีขาวเช่นเดียวกับกระทิง
ในตัวผู้ที่มีอายุมากจะมีเหนียงใต้คอยาวห้อยลงมาจนเกือบจะถึงดิน
เขากูปรีตัวผู้กับตัวเมียจะแตกต่างกันโดยเขาตัวผู้จะโค้งเป็นวงกว้าง
แล้วตีวงโค้งไปข้างหน้าปลายเขาแตกออกเป็นพู่คล้ายเส้นไม้กวาดแข็ง
ตัวเมียมีเขาตีวงแคบแล้วม้วนขึ้นด้านบนไม่มีพู่ที่ปลายเขา
อุปนิสัย
อยู่รวมกันเป็นฝูง ๒-๒๐ ตัว กินหญ้า
ใบไม้ดินโป่งเป็นครั้งคราวผสมพันธุ์ในราวเดือนเมษายน ตั้งท้องนาน ๙
เดือนจะพบออกลูกอ่อนประมาณเดือนธันวาคมและมกราคม ตกลูกครั้งละ ๑ตัว
ที่อยู่อาศัย
ปกติอาศัยอยู่ตามป่าโปร่งที่มีทุ่งหญ้าสลับกับป่าเต็งรังและในป่าเบญจพรรณที่ค่อนข้างแล้ง
เขตแพร่กระจาย
กูปรีมีเขตแพร่กระจายอยู่ในไทย
เวียดนาม ลาวและกัมพูชา
สถานภาพ
ประเทศไทยมีรายงานว่าพบกูปรีอยู่ตามแนวเทือกเขาชายแดนไทย-กัมพูชา
และลาวเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๕
มีรายงานพบกูปรีในบริเวณเทือกเขาพนมดงรักกูปรีจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน๑๕
ชนิดของประเทศไทย และอยู่ในAppendix I ตามอนุสัญญาCITESกาญจนบุรี
และคลองแสง จังหวัดสุราษฏร์ธานีและในบริเวณอุทยานแห่งชาติหลายแห่ง ได้แก่
แก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรีและเขื่อนบางลาง
จังหวัดยะลาและบริเวณป่ารอยต่อระหว่างประเทศกับมาเลเซีย
ควายป่า
ลักษณะ
ควายป่าเป็นสัตว์ชนิดเดียวกับ ควายบ้าน
แต่มีลำตัวขนาดลำตัวใหญ่กว่ามีนิสัยว่องไว และดุร้ายกว่าควายบ้านมาก
ตัวโตเต็มวัยมีความสูงที่ไหล่เกือบ ๒ เมตรน้ำหนักมากกว่า ๑,๐๐๐ กิโลกรัม
สีลำตัวโดยทั่วไปเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาลดำ ขาทั้ง ๔ สีขาวแก่
หรือสีเทาคล้ายใส่ถุงเท้าสีขาวด้านล่างของลำตัวเป็นลายสีขาวรูปตัววี (V ) ควายป่ามีเขาทั้ง ๒เพศเขามีขนาดใหญ่กว่าควายเลี้ยง
วงเขากางออกกว้างโค้งไปทางด้านหลังด้านตัดขวางเป็นรูปสามเหลี่ยมปลายเขาเรียวแหลม
อุปนิสัย
ควายป่าชอบออกหากินในเวลาเช้า และเวลาเย็น
อาหารได้แก่ พวกใบไม้ หญ้าและหน่อไม้ หลังจากกินอาหารอิ่มแล้ว
ควายป่าจะนอนเคี้ยวเอื้องตามพุ่มไม้หรือนอนแช่ปรักโคลนตอนช่วงกลางวัน
ควายป่าจะอยู่ร่วมกันเป็นฝูงฤดูผสมพันธุ์อยู่ราวๆ เดือนตุลาคมและพฤศจิกายน
ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว ตั้งท้องนาน ๑๐เดือน เท่าที่ทราบควายป่ามีอายุยืน ๒๐-๒๕ ปี
เขตแพร่กระจาย
ควายป่ามีเขตแพร่กระจายจากประเทศเนปาลและอินเดียไปสิ้นสุดทางด้านทิศตะวันออกที่ประเทศเวียดนามในประเทศไทยปัจจุบันมีควายป่าเหลืออยู่บริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งจังหวัดอุทัยธานี
สถานภาพ
ปัจจุบันควายป่าที่เหลืออยู่ในประเทศไทยมีจำนวนน้อยมากจนน่ากลัวว่าอีกไม่นานจะหมดไปจากประเทศ
ควายป่าจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญาCITES จัดควายป่าไว้ในAppendix
III
ละองหรือละมั่ง
ลักษณะ
เป็นกวางที่มีขนาดโตกว่าเนื้อทราย
แต่เล็กกว่ากวางป่าเมื่อโตเต็มวัยมีความสูงที่ไหล่ ๑.๒-๑.๓ เมตร น้ำหนัก ๑๐๐-๑๕๐
กิโลกรัมขนตามตัวทั่วไปมีสีน้ำตาลแดง
ตัวอายุน้อยจะมีจุดสีขาวตามตัวซึ่งจะเลือนกลายเป็นจุดจางๆ เมื่อโตเต็มที่ในตัวเมีย
แต่จุดขาวเหล่านี้จะหายไปจนหมดในตัวผู้ตัวผู้จะมีขนที่บริเวณคอยาว
และมีเขาและเขาของละองจะมีลักษณะต่างจากเขากวางชนิดอื่นๆ
ในประเทศไทยซึ่งที่กิ่งรับหมาที่ยื่นออกมาทางด้านหน้า
จะทำมุมโค่งต่อไปทางด้านหลังและลำเขาไม่ทำมุมหักเช่นที่พบในกวางชนิดอื่นๆ
อุปนิสัย
ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก
ตัวผู้ที่โตเต็มวัยจะเข้าฝูงเมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ออกหากินใบหญ้า ใบไม้
และผลไม้ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนแต่เวลาแดดจัดจะเข้าหลบพักในที่ร่ม ละองละมั่งผสมพันธุ์ในเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนเมษายน
ตั้งท้องนาน ๘ เดือนออกลูกครั้งละ ๑ ตัว
ที่อยู่อาศัย
ละองชอบอยู่ตามป่าโปร่ง
และป่าทุ่งโดยเฉพาะป่าที่มีแหล่งน้ำขัง
เขตแพร่กระจาย
ละองแพร่กระจายในประเทศอินเดีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม
และเกาะไหหลำในประเทศไทยอาศัยอยู่ในบริเวณเหนือจากคอคอดกระขึ้นมา
สถานภาพ
มีรายงานพบเพียง ๓ ตัว
ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานีละอง
ละมั่งจัดเป็นป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญาCITES จัดอยู่ในAppendix
สมัน
ลักษณะ
เนื้อสมันเป็นกวางชนิดหนึ่งที่เขาสวยงามที่สุด
ในประเทศไทยเมื่อโตเต็มวัยจะมีความสูงที่ไหล่ประมาณ ๑
เมตรสีขนบนลำตัวมีสีน้ำตาลเข้มและเรียบเป็นมัน
หางค่อนข้างสั้นและมีสีขางทางตอนล่างสมันมีเขาเฉพาะตัวผู้
ลักษณะเขาของสมันมีขนาดใหญ่และแตกกิ่งก้านออกหลายแขนง
ดูคล้ายสุ่มหรือตะกร้าสมันจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ากวางเขาสุ่ม
อุปนิสัย
ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็กๆ
โดยเฉพาะในฤดูผสมพันธุ์ หลังจากหมดฤดูผสมพันธุ์และตัวผู้จะแยกตัวออกมาอยู่โดดเดี่ยว
สมันชอบกินหญ้าโดยเฉพาะหญ้าอ่อน ผลไม้ ยอดไม้และใบไม้หลายชนิด
ที่อยู่อาศัย
สมันจะอาศัยเฉพาะในทุ่งโล่ง
ไม่อยู่ตามป่ารกทึบเนื่องจากเขามีกิ่งก้านสาขามากจะเกี่ยวพันพันกับเถาวัลย์ได้ง่าย
เขตแพร่กระจาย
สมันเป็นสัตว์ชนิดที่มีเขตแพร่กระจายจำกัดอยู่ในบริเวณที่ราบภาคกลางของประเทศเท่านั้นสมัยก่อนมีชุกชุมมากในที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
บริเวณจังหวัดรอบกรุงเทพฯ เช่นนครนายก ปทุมธานี และปราจีนบุรี
และแม้แต่บริเวณพื้นที่รอบนอกของกรุงเทพฯ เช่นบริเวณพญาไท บางเขน รังสิตฯลฯ
สถานภาพ
สมันได้สูญพันธุ์ไปจากโลกและจากประเทศไทยเมื่อเกือบ
๖๐ ปีที่แล้วสมันยังจัดเป็นป่าสงวนชนิดหนึ่งใน
๑๕ชนิดของประเทศไทยโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมซากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาของสมันไม่ให้มีการส่งออกนอกราชอาณาจักร
กวางผา
ลักษณะ
กวางผาเป็นสัตว์จำพวก แพะแกะเช่นเดียวกับเลียงผา
แต่มีขนาดเล็กกว่าเมื่อโตเต็มที่มีความสูงที่ไหล่มากกว่า ๕๐ เซนติเมตร
เพียงเล็กน้อยและมีน้ำหนักตัวประมาณ ๓๐ กิโลกรัม ขนบนลำตัวสีน้ำตาล
หรือสีน้ำตาลปนเทามีแนวสีดำตามสันหลงไปจนจดหาง ด้านใต้ท้องสีจางกว่าด้านหลัง
หางสั้นสีดำเขาสีดำมีลักษณะเป็นวงแหวนรอบโคนเขาและปลายเรียวโค้งไปทางด้านหลัง
อุปนิสัย
ออกหากินตามที่โล่งในตอนเย็น และตอนเช้ามืด หลับพักนอนตามพุ่มไม้และชะง่อนหินในเวลากลางคืน
อาหาร ได้แก่ พืชที่ขึ้นตามสันเขาและหน้าผาหิน เช่น หญ้าใบไม้ กิ่งไม้
และลูกไม้เปลือกแข็งจำพวกลูกก่อ กวางผาอยู่รวมกันเป็นฝูงๆละ ๔-๑๒
ตัวผสมพันธุ์ในราวเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม ออกลูกครอกละ ๑-๒ ตัว ตั้งท้องนาน ๖เดือน
กวางผาจะอยู่บนยอดเขาสูงชันในที่ระดับน้ำสูงชันมากกว่า ๑,๐๐๐เมตร
เขตแพร่กระจาย
กวางผามีเขตแพร่กระจายตั้งแต่แคว้นแพร่กระจายตั้งแต่แคว้นแคชเมียร์ลงมาจนถึงแคว้นอัสสัม
จีนตอนใต้ พม่าและตอนเหนือของประเทศไทยในประเทศไทยมีรายงานพบกวางผาตามภูเขาที่สูงชันในหลายบริเวณ
เช่น ดอยม่อนจองเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย ดอยเลี่ยม ดอยมือกาโด
จังหวัดเชียงใหม่และบริเวณสองฝั่งลำน้ำปิงในอุทยานแห่งชาติแม่ปิงจังหวัดตาก
สถานภาพ
กวางผาจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทยและอนุสัญญาCITES จัดไว้ในApendix
กแต้วแล้วท้องดำ
ลักษณะ
เป็นนกขนาดเล็ก ลำตัวยาว ๒๑ เซนติเมตร
จัดเป็นนกที่มีความสวยงามมากนกตัวผู้มีส่วนหัวสีดำ ท้ายทอยมีสีฟ้าประกายสดใส
ด้านหลังสีน้ำตาลติดกับอกตอนล่างและตอนใต้ท้องที่มีดำสนิท
นกตัวเมียมีสีสดใสน้อยกว่าโดยทั่วไปสีลำตัวออกน้ำตาลเหลือง
ไม่มีแถบดำบนหน้าอกและใต้ท้อง นกอายุน้อยมีหัวและคอสีน้ำตาลเหลือง ส่วนอกใต้ท้องสีน้ำตาลทั่วตัวมีลายเกล็ดสีดำ
อุปนิสัย
นกแต้วแล้วท้องดำทำรังเป็นซุ้มทรงกลม
ด้วยแขนงไม้และใบไผ่ วางอยู่บนพื้นดินหรือในกอระกำ วางไข่ ๓-๔ ฟอง
ทั้งพ่อนกและแม่นก ช่วยกันกกไข่และหาอาหารมาเลี้ยงลูกอาหารได้แก่หนอนด้วง ปลวก
จิ้งหรีดขนาดเล็กและแมลงอื่นๆ
ที่อยู่อาศัย
นกแต้วแล้วท้องดำชนิดนี้พบอาศัยอยู่เฉพาะในบริเวณป่าดงดิบต่ำ
เขตแพร่กระจาย
พบตั้งแต่ตอนใต้ของประเทศพม่า
ลงมาจนถึงเขตรอยต่อระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย
สถานภาพ
เคยพบชุกชุมในระยะเมื่อ ๘๐ ปีก่อน
แต่ไม่มีรายงานทางวิทยาศาสตร์เลยตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๔๙๕
จนมีรายงานพบครั้งล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๑
นกแต้วแล้วท้องดำได้รับการจัดให้เป็นสัตว์ชนิดที่หายากชนิดหนึ่งในสิบสองชนิดที่หายากของโลก
นกกระเรียน
ลักษณะ
เป็นนกขนาดใหญ่เมื่อยืนมีขนาดสูงราว ๑๕๐
เซนติเมตร ส่วนหัวและคอไม่มีขนปกคลุมมีลักษณะเป็นปุ่มหยาบสีแดง
ยกเว้นบริเวณกระหม่อมสีเขียวอมเทาในฤดูผสมพันธุ์มีสีแดงส้มสดขึ้นกว่าเดิม
ขนลำตัวสีเทาจนถึงสีเทาแกมฟ้ามีกระจุกขนสีขาวห้อยคลุมส่วนหาง
จะงอยปากสีออกเขียวแข้งและเท้าสีแดงหรือสีชมพูอมฟ้า
นกอายุน้อยมีขนสีน้ำตาลทั่วตัวบนส่วนหัวและลำคอมีขนสีน้ำตาลเหลืองปกคลุมในประเทศไทยเป็นนกกระเรียนชนิดย่อยSharpii ซึ่งไม่มีวงแหวนสีขาวรอบลำคอ
อุปนิสัย
ออกหากินเป็นคู่และเป็นกลุ่มครอบครัว
กินพวกสัตว์ เช่น แมลง สัตว์เลื้อยคลานกบ เขียด หอย ปลา กุ้งและพวกพืช
เมล็ดข้าวและยอดหญ้าอ่อนทำรังวางไข่ในฤดูฝนราวเดือนมิถุนายน ปกติวางไข่จำนวน ๒
ฟองพ่อแม่นกจะเลี้ยงดูลูกอีกเป็นเวลาอย่างน้อย ๑๐เดือน
ที่อยู่อาศัย
ชอบอาศัยตามทุ่งหญ้าที่ชื้นแฉะและหนองบึงที่ใกล้ป่า
เขตแพร่กระจาย
นกกระเรียนชนิดย่อยนี้
มีเขตแพร่กระจายจากแคว้นอัสสัมในประเทศอินเดียประเทศพม่า ไทย ตอนใต้ลาว กัมพูชา
เวียดนามตอนใต้ ถึงเมืองลูซุนประเทศฟิลิปปินส์บางครั้งพลัดหลงไปถึงประเทศมาเลเซียและยังมีประชากรอีกกลุ่มหนึ่งในรัฐควีนแลนด์ประเทศออสเตรเลีย
แมวลายหินอ่อน
ลักษณะ
แมวลายหินอ่อนเป็นแมวป่าขนาดกลาง
น้ำหนักตัวเมื่อโตเต็มที่ ๔-๕ กิโลกรัมใบหูเล็กมนกลมมีจุดด้านหลังใบหู
หางยาวมีขนหนาเป็นพวงเด่นชัดสีขนโดยทั่วไปเป็นสีน้ำตาลอมเหลือง
มีลายบนลำตัวคล้ายลายหินอ่อนด้านใต้ท้องจะออกสีเหลืองมากกว่า
ด้านหลังขาและหางมีจุดดำเท้ามีพังผืดยืดระหว่างนิ้ว
นิ้วมีปลอกเล็บสองชั้นและเล็บพับเก็บได้ในปลอกเล็บทั้งหมด
อุปนิสัย
ออกหากินในเวลากลางคืน
ส่วนใหญ่มักอยู่บนต้นไม้อาหารได้แก่สัตว์ขนาดเล็กแทบทุกชนิดตั้งแต่แมลง จิ้งจก ตุ๊กแก
งู นก หนู กระรอกจนถึงลิงขนาดเล็ก นิสัยค่อนข้าดุร้าย
ที่อยู่อาศัย
ในประเทศไทยพบอยู่ตามป่าดงดิบเทือกเขาตะนาวศรีและป่าดงดิบชื้นในภาคใต้
เขตแพร่กระจาย
แมวป่าชนิดนี้มีเขตแพร่กระจายตั้งแต่ประเทศเนปาล
สิกขิม แคว้นอัสสัมประเทศอินเดีย ผ่านทางตอนเหนือของพม่า ไทย อินโดจีน
ลงไปตลอดแหลมมลายูสุมาตราและบอร์เนียว
สถานภาพ
แมวลายหินอ่อนจัดเป็นสัตว์ป่าชนิดหนึ่งใน ๑๕
ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญาCITES จัดอยู่ในAppendix I
สมเสร็จ
ลักษณะ
สมเสร็จเป็นสัตว์กีบคี่ เท้าหน้ามี ๔ เล็บ
และเท้าหลังมี ๓ เล็บจมูกและริมฝีปากบนยื่นออกมาคล้ายงวง ตามีขนาดเล็ก ใบหูรูปไข่
หางสั้นตัวเต็มวัยมีน้ำหนัก ๒๕๐-๓๐๐ กิโลกรัม
ส่วนหัวและลำตัวเป็นสีขาวสลับดำตั้งแต่ปลายจมูกตลอดท่อนหัวจนถึงลำตัว
บริเวณระดับหลังของขาคู่หน้ามีสีดำท่อนกลางตัวเป็นแผ่นขาว
ส่วนบริเวณโคนหางลงไปตลอดขาคู่หลัง จะเป็นสีดำขอบปลายหูและริมฝีปากขาว
ลูกสมเสร็จลำตัวมีลายเป็นแถบดูลายพร้อยคล้ายลูกแตงไทย
อุปนิสัย
สมเสร็จชอบออกหากินในเวลากลางคืน กินยอดไม้
กิ่งไม้ หน่อไม้และพืชอวบน้ำหลายชนิด มักมุดหากินตามที่รกทึบ
ไม่ค่อยชอบเดินหากินตามเส้นทางเก่ามีประสาทสัมผัสทางกลิ่นและเสียงดีมาก
ผสมพันธุ์ในเดือนเมษายนหรือเดือนพฤษภาคมตกลูกครั้งละ ๑ ตัว
ใช้เวลาตั้งท้องนานประมาณ ๑๓ เดือนสมเสร็จที่เลี้ยงไว้มีอายุนานประมาณ ๓๐ ปี
ที่อยู่อาศัย
สมเสร็จชอบอยู่อาศัยตามบริเวณที่ร่มครึ้มใกล้ห้วยหรือลำธาร
เขตแพร่กระจาย
สมเสร็จมีเขตแพร่กระจายจากพม่าตอนใต้
ไปตามพรมแดนด้านทิศตะวันตกของประเทศไทยลงไปสุดแหลมมลายูและสุมาตราในประเทศไทยจะพบสมเสร็จได้ในป่าดงดิบตามเทือกเขาถนนธงชัย
เทือกเขาตะนาวศรีและป่าทั่วภาคใต้
สถานภาพ
ปัจจุบันสมเสร็จจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน
๑๕ ชนิดของประเทศไทยและจัดโดยอนุสัญญาCITES ไว้ในAppendix I และจัดเป็นสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ตามU.S. Endanger Species Act.
เก้งหม้อ
ลักษณะ
เก้งหม้อมีลักษณะโดยทั่วไป
คล้ายคลึงกับเก้งธรรมดา ขนาดลำตัวไล่เลี่ยกันเมื่อโตเต็มที่น้ำหนักประมาณ ๒๐
กิโลกรัม แต่เก้งหม้อจะมีสีลำตัวคล้ำกว่าเก้งธรรมดาด้านหลังสีออกน้ำตาลเข้ม
ใต้ท้องสีน้ำตาลแซมขาว
ขาส่วนที่อยู่เหนือกีบจะมีสีดำด้านหน้าของขาหลังมีแถบขาวเห็นได้ชัดเจน
บนหน้าผากจะมีเส้นสีดำอยู่ด้านในระหว่างเขาหางสั้นด้านบนสีดำตัดกับสีขาวด้านล่างชัดเจน
อุปนิสัย
เก้งหม้อชอบอาศัยอยู่เดี่ยว ในป่าดงดิบ
ตามลาดเขาจะอยู่เป็นคู่เฉพาะฤดูผสมพันธุ์เท่านั้น
ออกหากินในเวลากลางวันมากกว่าในเวลากลางคืนอาหารได้แก่ ใบไม้ ใบหญ้า และผลไม้ป่า
ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว เวลาตั้งท้องนาน ๖เดือน
ที่อยู่อาศัย
ชอบอยู่ตามลาดเขาในป่าดงดิบและหุบเขาที่มีป่าหนาทึบและมีลำธารน้ำไหลผ่าน
เขตแพร่กระจาย
เก้งหม้อมีเขตแพร่กระจาย
อยู่ในบริเวณตั้งแต่พม่าตอนใต้ลงไปจนถึงภาคใต้ตอนบนของประเทศไทยเท่านั้นในประเทศไทยพบในบริเวณเทือกเขาตะนาวศรีลงไปจนถึงเทือกเขาภูเก็ตในบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา
และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองแสงในจังหวัดระนอง สุราษฎร์ธานีและพังงา
สถานภาพ
องค์การสวนสัตว์
ได้ประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงเก้งหม้อมาตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๕๒๘
ในปัจจุบันเก้งหม้อจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทยและองค์การIUCN จัดเก้งหม้อให้เป็นสัตว์ป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์
พะยูน
ลักษณะ
พะยูนจัดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง
ที่อาศัยอยู่ในน้ำมีลำตัวเพรียวรูปกระสวย หางแยกเป็นสองแฉก
วางตัวขนานกับพื้นในแนวราบ ไม่มีครีบหลังปากอยู่ตอนล่าง
ของส่วนหน้าริมฝีปากบนเป็นก้อนเนื้อหนาลักษณะเป็นเหลี่ยมคล้ายจมูกหมู
ตัวอายุน้อยมีลำตัวออกขาว
ส่วนตัวเต็มวัยมีสีชมพูแดงเมื่อโตเต็มวัยจะมีน้ำหนักตัวประมาณ ๓๐๐กิโลกรัม
อุปนิสัย
พะยูนอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว
หลายครอบครัวจะหากินเป็นฝูงใหญ่ ออกลูกครั้งละ๑ ตัว ใช้เวลาตั้งท้องนาน ๑๓ เดือน
และจะโตเต็มที่เมื่อมีอายุ ๙ปี
ที่ยู่อาศัย
ชอบอาศัยหากินพืชจำพวกหญ้าทะเลตามพื้นท้องทะเลชายฝั่งทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน
เขตแพร่กระจาย
พะยูนมีเขตแพร่กระจาย
ตั้งแต่บริเวณชายฝั่งตะวันออกของทวีปอาฟริกา
ทะเลแดงตลอดแนวชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียไปจนถึงประเทศฟิลิปปินส์
ไต้หวันและตอนเหนือของออสเตรเลีย
ในประเทศไทยพบไม่บ่อยนักทั้งในบริเวณอ่าวไทยแถบจังหวัดระยอง
และชายฝั่งทะเลอันดามัน แถบจังหวัดภูเก็ต พังงากระบี่ ตรัง สตูล
สถานภาพ
ปัจจุบันพบพะยูนน้อยมาก
พยูนที่ยังเหลืออยู่จะเป็นกลุ่มเล็กหรืออยู่โดดเดี่ยวบางครั้งอาจจะเข้ามาจากน่านน้ำของประเทศใกล้เคียงพะยูนจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน
๑๕ ชนิดของประเทศไทย และจัดโดยอนุสัญญาCITES ไว้ในAppendix I
เลียงผา
ลักษณะ
เลียงผาเป็นสัตว์จำพวกเดียวกับ
แพะและแกะเมื่อโตเต็มที่มีความสูงที่ไหล่ประมาณ ๑ เมตร ขายาวและแข็งแรง
ใบหูยาวคล้ายใบหูลาขนตามลำตัวค่อนข้างยาว หยาบและมีสีดำ ด้านท้องขนสีจางกว่ามีขนเป็นแผงยาวบนสันคอและสันหลัง
มีเขาทั้งในตัวผู้และตัวเมีย เขามีลักษณะตอนโคนกลมหยักเป็นวงแหวนโดยรอบค่อยๆ
เรียวไปทางปลายเขาโค้งไปทางด้านหลังเล็กน้อย
อุปนิสัย
ในเวลากลางวันจะพักอาศัยอยู่ในถ้ำ หรือในพุ่มไม้
ออกหากินในตอนเย็นถึงพลบค่ำและในเวลาเช้ามืด อาหารได้แก่พืชต่างๆ ทุกชนิด
เลียงผามีประสาทหู ตาและรับกลิ่นได้ดี ผสมพันธุ์ในช่วงปลายเดือนตุลาคม
ตกลูกครั้งละ ๑-๒ ตัวใช้เวลาตั้งท้องราว ๗ เดือน ในที่เลี้ยง เลียงผามีอายุยาวกว่า
๑๐ปี
ที่อาศัย
เลียงผาอาศัยอยู่ตามภูเขาที่มีหน้าผาสูงชันมีป่าปกคลุม
เขตแพร่กระจาย
เลียงผามีเขตแพร่กระจาย
ตั้งแต่แคว้นแคชเมียร์มาตามเทือกเขาหิมาลัยจนถึงแคว้นอัสสัม จีนตอนใต้ พม่า
อินโดจีน มลายู
และสุมาตราในประเทศไทยพบอาศัยอยู่ตามภูเขาสูงในหลายภูมิภาคของประเทศ เช่น
เทือกเขาตะนาวศรีเทือกเขาถนนธงชัย เทือกเขาเพชรบูรณ์ และภูเขาทั่วไปในบริเวณภาคใต้รวมทั้งบนเกาะในทะเลที่อยู่ไม่ห่างจากแผ่นดินใหญ่มากนัก
สถานภาพ
เลียงผาจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕
ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญาCITES จัดเรียงผาไว้ในAppendix I
อ้างอิง : http://www.fca16mr.com/webblog/blog.php?id=118