นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร
ลักษณะ
นกนางแอ่นที่มีลำตัวยาว ๑๕ เซนติเมตร
สีโดยทั่วไปมีสีดำเหลือบเขียวแกมฟ้าโคนหางมีแถบสีขาว ลักษณะเด่นได้แก่
มีวงสีขาวรอบตา ทำให้ดูมีดวงตาโปนโตออกมาจึงเรียกว่านกตาพอง นกที่โตเต็มวัย
มีแกนขนหางคู่กลางยื่นยาวออกมา ๒เส้น
อุปนิสัย
แหล่งผสมพันธุ์วางไข่ และที่อาศัยในฤดูร้อนยังไม่ทราบ
ในบริเวณบึงบอระเพ็ดนกเจ้าหญิงสิรินธรจะเกาะนอน อยู่ในฝูงนกนางแอ่นชนิดอื่นๆ
ที่เกาะอยู่ตามใบอ้อและใบสนุ่นภายในบึงบอระเพ็ด บางครั้งก็พบอยู่ในกลุ่มนกกระจาบ
และนกจาบปีกอ่อนกลุ่มนกเหล่านี้มีจำนวนนับพันตัวอาหารเชื่อได้ว่าได้แก่แมลงที่โฉบจับได้ในอากาศ
ที่อยู่อาศัย
อาศัยอยู่ตามดงอ้อและพืชน้ำในบริเวณบึงบอระเพ็ด
เขตแพร่กระจาย
พบเฉพาะในประเทศไทย
พบในช่วงเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนมีนาคมซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาว
สถานภาพ
นกชนิดนี้สำรวจพบครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี
พ.ศ.๒๕๑๑ จังหวัดนครสวรรค์หลังจากการค้นพบครั้งแรกแล้วมีรายงานพบอีก ๓ ครั้ง
แต่มีเพียง ๖ ตัวเท่านั้นนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร
เป็นสัตว์ป่าสงวนตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าพ.ศ.๒๕๓๕
แรด
ลักษณะ
แรดจัดเป็นสัตว์จำพวกมีกีบ คือมีเล็บ ๓
เล็บทั้งเท้าหน้าและเท้าหลังตัวโตเต็มวัยมีความสูงที่ไหล่ ๑.๖-๑.๘ เมตร
น้ำหนักตัว๑,๕๐๐-๒,๐๐๐ กิโลกรัม
แรดมีหนังหนาและมีขนแข็งขึ้นห่างๆสีพื้นเป็นสีเทาออกดำ ส่วนหลังมีส่วนพับของหนัง ๓
รอยบริเวณหัวไหล่ด้านหลังของขาคู่หน้า และด้านหน้าของขาคู่หลังแรดตัวผู้มีนอเดียวยาวไม่เกิน
๒๕ เซนติเมตรส่วนตัวเมียจะเห็นเป็นเพียงปุ่มนูนขึ้นมา
อุปนิสัย
ในอดีตเคยพบแรดหากินร่วมเป็นฝูง
แต่ในปัจจุบันแรดหากินตัวเดียวโดดๆหรืออยู่เป็นคู่ในฤดูผสมพันธุ์
อาหารของแรดได้แก่ ยอดไม้ ใบไม้ กิ่งไม้และผลไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นดิน แรดไม่มีฤดูผสมพันธุ์ที่แน่นอนจึงสามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดปี
ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว ตั้งท่องนานประมาณ ๑๖เดือน
ที่อยู่อาศัย
แรดอาศัยอยู่เฉพาะในบริเวณป่าดิบชื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์หรือตามป่าทึบริมฝั่งทะเล
ส่วนใหญ่จะหากินอยู่ตามพื้นที่ราบไม่ค่อยขึ้นบนภูเขาสูง
เขตแพร่กระจาย
แรดมีเขตกระจายตั้งแต่ประเทศบังคลาเทศ พม่า ไทย
ลาว เขมร เวียดนามลงไปทางแหลมมลายู สุมาตรา และชวา
ปัจจุบันพบน้อยมากจนกล่าวได้ว่าเกือบจะหมดไปจากผืนแผ่นดินใหญ่ของทวีปเอเชียแล้วเชื่อว่ายังอาจจะมีคงเหลืออยู่บ้างทางเทือกเขาตะนาวศรีและในป่าลึกตามแนวรอยต่อจังหวัดระนอง
พังงาและสุราษฎร์ธานี
สถานภาพ
ปัจจุบันแรดจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕
ชนิดของประเทศไทยและจัดอยู่ในAppendix 1 ของอนุสัญญาCITES ทั้งยังเป็นสัตว์ป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ตามU.S.Endanger
Species
กระซู่
ลักษณะ
กระซู่เป็นสัตว์จำพวกเดียวกับแรด
แต่มีลักษณะลำตัวเล็กกว่าตัวโตเต็มวัยมีความสูงที่ไหล่ ๑-๑.๕ เมตร น้ำหนักประมาณ ๑,๐๐๐
กิโลกรัมมีหนังหนาและมีขนขึ้นปกคลุมทั้งตัว
โดยเฉพาะในตัวที่มีอายุน้อยซึ่งขนจะลดน้อยลงเมื่อมีอายุมากขึ้น
สีลำตัวโดยทั่วไปออกเป็นสีเทา คล้ายสีขี้เถ้าด้านหลังลำตัว
จะปรากฏรอยพับของหนังเพียงพับเดียว
ตรงบริเวณด้านหลังของขาคู่หน้ากระซู่ทั้งสองเพศมีนอ ๒ นอ นอหน้ามีความยาวประมาณ ๒๕
เซนติเมตรส่วนนอหลังมีความยาวไม่เกิน ๑๐
เซนติเมตรหรือเป็นเพียงตุ่มนูนขึ้นมาในตัวเมีย
อุปนิสัย
กระซู่ปีนเขาได้เก่ง
มีประสาทรับกลิ่นดีมาก ออกหากินในเวลากลางคืน อาหาร ได้แก่พวกใบไม้
และผลไม้ป่าบางชนิด ปกติกระซู่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวยกเว้นในฤดูผสมพันธุ์
หรือตัวเมียเลี้ยงลูกอ่อน ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว มีระยะตั้งท้อง๗-๘ เดือน
ในที่เลี้ยงกระซู่มีอายุยืน ๓๒ปี
ที่อยู่อาศัย
กระซู่อาศัยอยู่ตามป่าเขาที่มีความหนารกทึบ
ลงมาอยู่ในป่าที่ราบต่ำในตอนปลายฤดูฝนซึ่งในระยะนั้นมีปรักและน้ำอยู่ทั่วไป
เขตแพร่กระจาย
กระซู่มีเขตแพร่กระจายตั้งแต่แคว้นอัสสัมในประเทศอินเดีย
บังคลาเทศ พม่า ไทยเวียดนาม มลายู สุมาตรา และบอเนียวในประเทศไทยมีรายงานว่าพบกระซู่อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหลายแห่งได้แก่
ภูเขียวจังหวัดชัยภูมิ เขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรี ห้วยขาแข้ง
จังหวัดอุทัยธานีทุ่งใหญ่นเรศวร จังหวัดกาญจนบุรี และคลองแสง
จังหวัดสุราษฏร์ธานีและในบริเวณอุทยานแห่งชาติหลายแห่ง ได้แก่ แก่งกระจาน
จังหวัดเพชรบุรีและเขื่อนบางลาง
จังหวัดยะลาและบริเวณป่ารอยต่อระหว่างประเทศกับมาเลเซีย
สถานภาพ
ปัจจุบันกระซู่จัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕
ชนิดของประเทศไทย อนุสัญญา CITES จัดไว้ใน Appendix I และ U.S.
Endanger Species Act จัดไว้ในพวกที่ใกล้จะสูญพันธุ์
กูปรี
ลักษณะ
กูปรีเป็นสัตว์ป่าชนิดหนึ่ง
เช่นเดียวกับ กระทิงและวัวแดงเมื่อโตเต็มที่มีความสูงที่ไหล่ ๑.๗-๑.๙ เมตร น้ำหนัก
๗๐๐-๙๐๐ กิโลกรัมตัวผู้มีขนาดลำตัวใหญ่กว่าตัวเมียมาก
สีโดยทั่วไปเป็นสีเทาเข้มเกือบดำ ขาทั้ง ๔มีถุงเท้าสีขาวเช่นเดียวกับกระทิง
ในตัวผู้ที่มีอายุมากจะมีเหนียงใต้คอยาวห้อยลงมาจนเกือบจะถึงดิน
เขากูปรีตัวผู้กับตัวเมียจะแตกต่างกันโดยเขาตัวผู้จะโค้งเป็นวงกว้าง
แล้วตีวงโค้งไปข้างหน้าปลายเขาแตกออกเป็นพู่คล้ายเส้นไม้กวาดแข็ง
ตัวเมียมีเขาตีวงแคบแล้วม้วนขึ้นด้านบนไม่มีพู่ที่ปลายเขา
อุปนิสัย
อยู่รวมกันเป็นฝูง ๒-๒๐ ตัว กินหญ้า
ใบไม้ดินโป่งเป็นครั้งคราวผสมพันธุ์ในราวเดือนเมษายน ตั้งท้องนาน ๙
เดือนจะพบออกลูกอ่อนประมาณเดือนธันวาคมและมกราคม ตกลูกครั้งละ ๑ตัว
ที่อยู่อาศัย
ปกติอาศัยอยู่ตามป่าโปร่งที่มีทุ่งหญ้าสลับกับป่าเต็งรังและในป่าเบญจพรรณที่ค่อนข้างแล้ง
เขตแพร่กระจาย
กูปรีมีเขตแพร่กระจายอยู่ในไทย
เวียดนาม ลาวและกัมพูชา
สถานภาพ
ประเทศไทยมีรายงานว่าพบกูปรีอยู่ตามแนวเทือกเขาชายแดนไทย-กัมพูชา
และลาวเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๕
มีรายงานพบกูปรีในบริเวณเทือกเขาพนมดงรักกูปรีจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน๑๕
ชนิดของประเทศไทย และอยู่ในAppendix I ตามอนุสัญญาCITESกาญจนบุรี
และคลองแสง จังหวัดสุราษฏร์ธานีและในบริเวณอุทยานแห่งชาติหลายแห่ง ได้แก่
แก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรีและเขื่อนบางลาง
จังหวัดยะลาและบริเวณป่ารอยต่อระหว่างประเทศกับมาเลเซีย
ควายป่า
ลักษณะ
ควายป่าเป็นสัตว์ชนิดเดียวกับ ควายบ้าน
แต่มีลำตัวขนาดลำตัวใหญ่กว่ามีนิสัยว่องไว และดุร้ายกว่าควายบ้านมาก
ตัวโตเต็มวัยมีความสูงที่ไหล่เกือบ ๒ เมตรน้ำหนักมากกว่า ๑,๐๐๐ กิโลกรัม
สีลำตัวโดยทั่วไปเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาลดำ ขาทั้ง ๔ สีขาวแก่
หรือสีเทาคล้ายใส่ถุงเท้าสีขาวด้านล่างของลำตัวเป็นลายสีขาวรูปตัววี (V ) ควายป่ามีเขาทั้ง ๒เพศเขามีขนาดใหญ่กว่าควายเลี้ยง
วงเขากางออกกว้างโค้งไปทางด้านหลังด้านตัดขวางเป็นรูปสามเหลี่ยมปลายเขาเรียวแหลม
อุปนิสัย
ควายป่าชอบออกหากินในเวลาเช้า และเวลาเย็น
อาหารได้แก่ พวกใบไม้ หญ้าและหน่อไม้ หลังจากกินอาหารอิ่มแล้ว
ควายป่าจะนอนเคี้ยวเอื้องตามพุ่มไม้หรือนอนแช่ปรักโคลนตอนช่วงกลางวัน
ควายป่าจะอยู่ร่วมกันเป็นฝูงฤดูผสมพันธุ์อยู่ราวๆ เดือนตุลาคมและพฤศจิกายน
ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว ตั้งท้องนาน ๑๐เดือน เท่าที่ทราบควายป่ามีอายุยืน ๒๐-๒๕ ปี
เขตแพร่กระจาย
ควายป่ามีเขตแพร่กระจายจากประเทศเนปาลและอินเดียไปสิ้นสุดทางด้านทิศตะวันออกที่ประเทศเวียดนามในประเทศไทยปัจจุบันมีควายป่าเหลืออยู่บริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งจังหวัดอุทัยธานี
สถานภาพ
ปัจจุบันควายป่าที่เหลืออยู่ในประเทศไทยมีจำนวนน้อยมากจนน่ากลัวว่าอีกไม่นานจะหมดไปจากประเทศ
ควายป่าจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญาCITES จัดควายป่าไว้ในAppendix
III
ละองหรือละมั่ง
ลักษณะ
เป็นกวางที่มีขนาดโตกว่าเนื้อทราย
แต่เล็กกว่ากวางป่าเมื่อโตเต็มวัยมีความสูงที่ไหล่ ๑.๒-๑.๓ เมตร น้ำหนัก ๑๐๐-๑๕๐
กิโลกรัมขนตามตัวทั่วไปมีสีน้ำตาลแดง
ตัวอายุน้อยจะมีจุดสีขาวตามตัวซึ่งจะเลือนกลายเป็นจุดจางๆ เมื่อโตเต็มที่ในตัวเมีย
แต่จุดขาวเหล่านี้จะหายไปจนหมดในตัวผู้ตัวผู้จะมีขนที่บริเวณคอยาว
และมีเขาและเขาของละองจะมีลักษณะต่างจากเขากวางชนิดอื่นๆ
ในประเทศไทยซึ่งที่กิ่งรับหมาที่ยื่นออกมาทางด้านหน้า
จะทำมุมโค่งต่อไปทางด้านหลังและลำเขาไม่ทำมุมหักเช่นที่พบในกวางชนิดอื่นๆ
อุปนิสัย
ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก
ตัวผู้ที่โตเต็มวัยจะเข้าฝูงเมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ออกหากินใบหญ้า ใบไม้
และผลไม้ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนแต่เวลาแดดจัดจะเข้าหลบพักในที่ร่ม ละองละมั่งผสมพันธุ์ในเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนเมษายน
ตั้งท้องนาน ๘ เดือนออกลูกครั้งละ ๑ ตัว
ที่อยู่อาศัย
ละองชอบอยู่ตามป่าโปร่ง
และป่าทุ่งโดยเฉพาะป่าที่มีแหล่งน้ำขัง
เขตแพร่กระจาย
ละองแพร่กระจายในประเทศอินเดีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม
และเกาะไหหลำในประเทศไทยอาศัยอยู่ในบริเวณเหนือจากคอคอดกระขึ้นมา
สถานภาพ
มีรายงานพบเพียง ๓ ตัว
ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานีละอง
ละมั่งจัดเป็นป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญาCITES จัดอยู่ในAppendix
สมัน
ลักษณะ
เนื้อสมันเป็นกวางชนิดหนึ่งที่เขาสวยงามที่สุด
ในประเทศไทยเมื่อโตเต็มวัยจะมีความสูงที่ไหล่ประมาณ ๑
เมตรสีขนบนลำตัวมีสีน้ำตาลเข้มและเรียบเป็นมัน
หางค่อนข้างสั้นและมีสีขางทางตอนล่างสมันมีเขาเฉพาะตัวผู้
ลักษณะเขาของสมันมีขนาดใหญ่และแตกกิ่งก้านออกหลายแขนง
ดูคล้ายสุ่มหรือตะกร้าสมันจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ากวางเขาสุ่ม
อุปนิสัย
ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็กๆ
โดยเฉพาะในฤดูผสมพันธุ์ หลังจากหมดฤดูผสมพันธุ์และตัวผู้จะแยกตัวออกมาอยู่โดดเดี่ยว
สมันชอบกินหญ้าโดยเฉพาะหญ้าอ่อน ผลไม้ ยอดไม้และใบไม้หลายชนิด
ที่อยู่อาศัย
สมันจะอาศัยเฉพาะในทุ่งโล่ง
ไม่อยู่ตามป่ารกทึบเนื่องจากเขามีกิ่งก้านสาขามากจะเกี่ยวพันพันกับเถาวัลย์ได้ง่าย
เขตแพร่กระจาย
สมันเป็นสัตว์ชนิดที่มีเขตแพร่กระจายจำกัดอยู่ในบริเวณที่ราบภาคกลางของประเทศเท่านั้นสมัยก่อนมีชุกชุมมากในที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
บริเวณจังหวัดรอบกรุงเทพฯ เช่นนครนายก ปทุมธานี และปราจีนบุรี
และแม้แต่บริเวณพื้นที่รอบนอกของกรุงเทพฯ เช่นบริเวณพญาไท บางเขน รังสิตฯลฯ
สถานภาพ
สมันได้สูญพันธุ์ไปจากโลกและจากประเทศไทยเมื่อเกือบ
๖๐ ปีที่แล้วสมันยังจัดเป็นป่าสงวนชนิดหนึ่งใน
๑๕ชนิดของประเทศไทยโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมซากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาของสมันไม่ให้มีการส่งออกนอกราชอาณาจักร
กวางผา
ลักษณะ
กวางผาเป็นสัตว์จำพวก แพะแกะเช่นเดียวกับเลียงผา
แต่มีขนาดเล็กกว่าเมื่อโตเต็มที่มีความสูงที่ไหล่มากกว่า ๕๐ เซนติเมตร
เพียงเล็กน้อยและมีน้ำหนักตัวประมาณ ๓๐ กิโลกรัม ขนบนลำตัวสีน้ำตาล
หรือสีน้ำตาลปนเทามีแนวสีดำตามสันหลงไปจนจดหาง ด้านใต้ท้องสีจางกว่าด้านหลัง
หางสั้นสีดำเขาสีดำมีลักษณะเป็นวงแหวนรอบโคนเขาและปลายเรียวโค้งไปทางด้านหลัง
อุปนิสัย
ออกหากินตามที่โล่งในตอนเย็น และตอนเช้ามืด หลับพักนอนตามพุ่มไม้และชะง่อนหินในเวลากลางคืน
อาหาร ได้แก่ พืชที่ขึ้นตามสันเขาและหน้าผาหิน เช่น หญ้าใบไม้ กิ่งไม้
และลูกไม้เปลือกแข็งจำพวกลูกก่อ กวางผาอยู่รวมกันเป็นฝูงๆละ ๔-๑๒
ตัวผสมพันธุ์ในราวเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม ออกลูกครอกละ ๑-๒ ตัว ตั้งท้องนาน ๖เดือน
กวางผาจะอยู่บนยอดเขาสูงชันในที่ระดับน้ำสูงชันมากกว่า ๑,๐๐๐เมตร
เขตแพร่กระจาย
กวางผามีเขตแพร่กระจายตั้งแต่แคว้นแพร่กระจายตั้งแต่แคว้นแคชเมียร์ลงมาจนถึงแคว้นอัสสัม
จีนตอนใต้ พม่าและตอนเหนือของประเทศไทยในประเทศไทยมีรายงานพบกวางผาตามภูเขาที่สูงชันในหลายบริเวณ
เช่น ดอยม่อนจองเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย ดอยเลี่ยม ดอยมือกาโด
จังหวัดเชียงใหม่และบริเวณสองฝั่งลำน้ำปิงในอุทยานแห่งชาติแม่ปิงจังหวัดตาก
สถานภาพ
กวางผาจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทยและอนุสัญญาCITES จัดไว้ในApendix
กแต้วแล้วท้องดำ
ลักษณะ
เป็นนกขนาดเล็ก ลำตัวยาว ๒๑ เซนติเมตร
จัดเป็นนกที่มีความสวยงามมากนกตัวผู้มีส่วนหัวสีดำ ท้ายทอยมีสีฟ้าประกายสดใส
ด้านหลังสีน้ำตาลติดกับอกตอนล่างและตอนใต้ท้องที่มีดำสนิท
นกตัวเมียมีสีสดใสน้อยกว่าโดยทั่วไปสีลำตัวออกน้ำตาลเหลือง
ไม่มีแถบดำบนหน้าอกและใต้ท้อง นกอายุน้อยมีหัวและคอสีน้ำตาลเหลือง ส่วนอกใต้ท้องสีน้ำตาลทั่วตัวมีลายเกล็ดสีดำ
อุปนิสัย
นกแต้วแล้วท้องดำทำรังเป็นซุ้มทรงกลม
ด้วยแขนงไม้และใบไผ่ วางอยู่บนพื้นดินหรือในกอระกำ วางไข่ ๓-๔ ฟอง
ทั้งพ่อนกและแม่นก ช่วยกันกกไข่และหาอาหารมาเลี้ยงลูกอาหารได้แก่หนอนด้วง ปลวก
จิ้งหรีดขนาดเล็กและแมลงอื่นๆ
ที่อยู่อาศัย
นกแต้วแล้วท้องดำชนิดนี้พบอาศัยอยู่เฉพาะในบริเวณป่าดงดิบต่ำ
เขตแพร่กระจาย
พบตั้งแต่ตอนใต้ของประเทศพม่า
ลงมาจนถึงเขตรอยต่อระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย
สถานภาพ
เคยพบชุกชุมในระยะเมื่อ ๘๐ ปีก่อน
แต่ไม่มีรายงานทางวิทยาศาสตร์เลยตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๔๙๕
จนมีรายงานพบครั้งล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๑
นกแต้วแล้วท้องดำได้รับการจัดให้เป็นสัตว์ชนิดที่หายากชนิดหนึ่งในสิบสองชนิดที่หายากของโลก
นกกระเรียน
ลักษณะ
เป็นนกขนาดใหญ่เมื่อยืนมีขนาดสูงราว ๑๕๐
เซนติเมตร ส่วนหัวและคอไม่มีขนปกคลุมมีลักษณะเป็นปุ่มหยาบสีแดง
ยกเว้นบริเวณกระหม่อมสีเขียวอมเทาในฤดูผสมพันธุ์มีสีแดงส้มสดขึ้นกว่าเดิม
ขนลำตัวสีเทาจนถึงสีเทาแกมฟ้ามีกระจุกขนสีขาวห้อยคลุมส่วนหาง
จะงอยปากสีออกเขียวแข้งและเท้าสีแดงหรือสีชมพูอมฟ้า
นกอายุน้อยมีขนสีน้ำตาลทั่วตัวบนส่วนหัวและลำคอมีขนสีน้ำตาลเหลืองปกคลุมในประเทศไทยเป็นนกกระเรียนชนิดย่อยSharpii ซึ่งไม่มีวงแหวนสีขาวรอบลำคอ
อุปนิสัย
ออกหากินเป็นคู่และเป็นกลุ่มครอบครัว
กินพวกสัตว์ เช่น แมลง สัตว์เลื้อยคลานกบ เขียด หอย ปลา กุ้งและพวกพืช
เมล็ดข้าวและยอดหญ้าอ่อนทำรังวางไข่ในฤดูฝนราวเดือนมิถุนายน ปกติวางไข่จำนวน ๒
ฟองพ่อแม่นกจะเลี้ยงดูลูกอีกเป็นเวลาอย่างน้อย ๑๐เดือน
ที่อยู่อาศัย
ชอบอาศัยตามทุ่งหญ้าที่ชื้นแฉะและหนองบึงที่ใกล้ป่า
เขตแพร่กระจาย
นกกระเรียนชนิดย่อยนี้
มีเขตแพร่กระจายจากแคว้นอัสสัมในประเทศอินเดียประเทศพม่า ไทย ตอนใต้ลาว กัมพูชา
เวียดนามตอนใต้ ถึงเมืองลูซุนประเทศฟิลิปปินส์บางครั้งพลัดหลงไปถึงประเทศมาเลเซียและยังมีประชากรอีกกลุ่มหนึ่งในรัฐควีนแลนด์ประเทศออสเตรเลีย
แมวลายหินอ่อน
ลักษณะ
แมวลายหินอ่อนเป็นแมวป่าขนาดกลาง
น้ำหนักตัวเมื่อโตเต็มที่ ๔-๕ กิโลกรัมใบหูเล็กมนกลมมีจุดด้านหลังใบหู
หางยาวมีขนหนาเป็นพวงเด่นชัดสีขนโดยทั่วไปเป็นสีน้ำตาลอมเหลือง
มีลายบนลำตัวคล้ายลายหินอ่อนด้านใต้ท้องจะออกสีเหลืองมากกว่า
ด้านหลังขาและหางมีจุดดำเท้ามีพังผืดยืดระหว่างนิ้ว
นิ้วมีปลอกเล็บสองชั้นและเล็บพับเก็บได้ในปลอกเล็บทั้งหมด
อุปนิสัย
ออกหากินในเวลากลางคืน
ส่วนใหญ่มักอยู่บนต้นไม้อาหารได้แก่สัตว์ขนาดเล็กแทบทุกชนิดตั้งแต่แมลง จิ้งจก ตุ๊กแก
งู นก หนู กระรอกจนถึงลิงขนาดเล็ก นิสัยค่อนข้าดุร้าย
ที่อยู่อาศัย
ในประเทศไทยพบอยู่ตามป่าดงดิบเทือกเขาตะนาวศรีและป่าดงดิบชื้นในภาคใต้
เขตแพร่กระจาย
แมวป่าชนิดนี้มีเขตแพร่กระจายตั้งแต่ประเทศเนปาล
สิกขิม แคว้นอัสสัมประเทศอินเดีย ผ่านทางตอนเหนือของพม่า ไทย อินโดจีน
ลงไปตลอดแหลมมลายูสุมาตราและบอร์เนียว
สถานภาพ
แมวลายหินอ่อนจัดเป็นสัตว์ป่าชนิดหนึ่งใน ๑๕
ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญาCITES จัดอยู่ในAppendix I
สมเสร็จ
ลักษณะ
สมเสร็จเป็นสัตว์กีบคี่ เท้าหน้ามี ๔ เล็บ
และเท้าหลังมี ๓ เล็บจมูกและริมฝีปากบนยื่นออกมาคล้ายงวง ตามีขนาดเล็ก ใบหูรูปไข่
หางสั้นตัวเต็มวัยมีน้ำหนัก ๒๕๐-๓๐๐ กิโลกรัม
ส่วนหัวและลำตัวเป็นสีขาวสลับดำตั้งแต่ปลายจมูกตลอดท่อนหัวจนถึงลำตัว
บริเวณระดับหลังของขาคู่หน้ามีสีดำท่อนกลางตัวเป็นแผ่นขาว
ส่วนบริเวณโคนหางลงไปตลอดขาคู่หลัง จะเป็นสีดำขอบปลายหูและริมฝีปากขาว
ลูกสมเสร็จลำตัวมีลายเป็นแถบดูลายพร้อยคล้ายลูกแตงไทย
อุปนิสัย
สมเสร็จชอบออกหากินในเวลากลางคืน กินยอดไม้
กิ่งไม้ หน่อไม้และพืชอวบน้ำหลายชนิด มักมุดหากินตามที่รกทึบ
ไม่ค่อยชอบเดินหากินตามเส้นทางเก่ามีประสาทสัมผัสทางกลิ่นและเสียงดีมาก
ผสมพันธุ์ในเดือนเมษายนหรือเดือนพฤษภาคมตกลูกครั้งละ ๑ ตัว
ใช้เวลาตั้งท้องนานประมาณ ๑๓ เดือนสมเสร็จที่เลี้ยงไว้มีอายุนานประมาณ ๓๐ ปี
ที่อยู่อาศัย
สมเสร็จชอบอยู่อาศัยตามบริเวณที่ร่มครึ้มใกล้ห้วยหรือลำธาร
เขตแพร่กระจาย
สมเสร็จมีเขตแพร่กระจายจากพม่าตอนใต้
ไปตามพรมแดนด้านทิศตะวันตกของประเทศไทยลงไปสุดแหลมมลายูและสุมาตราในประเทศไทยจะพบสมเสร็จได้ในป่าดงดิบตามเทือกเขาถนนธงชัย
เทือกเขาตะนาวศรีและป่าทั่วภาคใต้
สถานภาพ
ปัจจุบันสมเสร็จจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน
๑๕ ชนิดของประเทศไทยและจัดโดยอนุสัญญาCITES ไว้ในAppendix I และจัดเป็นสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ตามU.S. Endanger Species Act.
เก้งหม้อ
ลักษณะ
เก้งหม้อมีลักษณะโดยทั่วไป
คล้ายคลึงกับเก้งธรรมดา ขนาดลำตัวไล่เลี่ยกันเมื่อโตเต็มที่น้ำหนักประมาณ ๒๐
กิโลกรัม แต่เก้งหม้อจะมีสีลำตัวคล้ำกว่าเก้งธรรมดาด้านหลังสีออกน้ำตาลเข้ม
ใต้ท้องสีน้ำตาลแซมขาว
ขาส่วนที่อยู่เหนือกีบจะมีสีดำด้านหน้าของขาหลังมีแถบขาวเห็นได้ชัดเจน
บนหน้าผากจะมีเส้นสีดำอยู่ด้านในระหว่างเขาหางสั้นด้านบนสีดำตัดกับสีขาวด้านล่างชัดเจน
อุปนิสัย
เก้งหม้อชอบอาศัยอยู่เดี่ยว ในป่าดงดิบ
ตามลาดเขาจะอยู่เป็นคู่เฉพาะฤดูผสมพันธุ์เท่านั้น
ออกหากินในเวลากลางวันมากกว่าในเวลากลางคืนอาหารได้แก่ ใบไม้ ใบหญ้า และผลไม้ป่า
ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว เวลาตั้งท้องนาน ๖เดือน
ที่อยู่อาศัย
ชอบอยู่ตามลาดเขาในป่าดงดิบและหุบเขาที่มีป่าหนาทึบและมีลำธารน้ำไหลผ่าน
เขตแพร่กระจาย
เก้งหม้อมีเขตแพร่กระจาย
อยู่ในบริเวณตั้งแต่พม่าตอนใต้ลงไปจนถึงภาคใต้ตอนบนของประเทศไทยเท่านั้นในประเทศไทยพบในบริเวณเทือกเขาตะนาวศรีลงไปจนถึงเทือกเขาภูเก็ตในบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา
และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองแสงในจังหวัดระนอง สุราษฎร์ธานีและพังงา
สถานภาพ
องค์การสวนสัตว์
ได้ประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงเก้งหม้อมาตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๕๒๘
ในปัจจุบันเก้งหม้อจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทยและองค์การIUCN จัดเก้งหม้อให้เป็นสัตว์ป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์
พะยูน
ลักษณะ
พะยูนจัดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง
ที่อาศัยอยู่ในน้ำมีลำตัวเพรียวรูปกระสวย หางแยกเป็นสองแฉก
วางตัวขนานกับพื้นในแนวราบ ไม่มีครีบหลังปากอยู่ตอนล่าง
ของส่วนหน้าริมฝีปากบนเป็นก้อนเนื้อหนาลักษณะเป็นเหลี่ยมคล้ายจมูกหมู
ตัวอายุน้อยมีลำตัวออกขาว
ส่วนตัวเต็มวัยมีสีชมพูแดงเมื่อโตเต็มวัยจะมีน้ำหนักตัวประมาณ ๓๐๐กิโลกรัม
อุปนิสัย
พะยูนอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว
หลายครอบครัวจะหากินเป็นฝูงใหญ่ ออกลูกครั้งละ๑ ตัว ใช้เวลาตั้งท้องนาน ๑๓ เดือน
และจะโตเต็มที่เมื่อมีอายุ ๙ปี
ที่ยู่อาศัย
ชอบอาศัยหากินพืชจำพวกหญ้าทะเลตามพื้นท้องทะเลชายฝั่งทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน
เขตแพร่กระจาย
พะยูนมีเขตแพร่กระจาย
ตั้งแต่บริเวณชายฝั่งตะวันออกของทวีปอาฟริกา
ทะเลแดงตลอดแนวชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียไปจนถึงประเทศฟิลิปปินส์
ไต้หวันและตอนเหนือของออสเตรเลีย
ในประเทศไทยพบไม่บ่อยนักทั้งในบริเวณอ่าวไทยแถบจังหวัดระยอง
และชายฝั่งทะเลอันดามัน แถบจังหวัดภูเก็ต พังงากระบี่ ตรัง สตูล
สถานภาพ
ปัจจุบันพบพะยูนน้อยมาก
พยูนที่ยังเหลืออยู่จะเป็นกลุ่มเล็กหรืออยู่โดดเดี่ยวบางครั้งอาจจะเข้ามาจากน่านน้ำของประเทศใกล้เคียงพะยูนจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน
๑๕ ชนิดของประเทศไทย และจัดโดยอนุสัญญาCITES ไว้ในAppendix I
เลียงผา
ลักษณะ
เลียงผาเป็นสัตว์จำพวกเดียวกับ
แพะและแกะเมื่อโตเต็มที่มีความสูงที่ไหล่ประมาณ ๑ เมตร ขายาวและแข็งแรง
ใบหูยาวคล้ายใบหูลาขนตามลำตัวค่อนข้างยาว หยาบและมีสีดำ ด้านท้องขนสีจางกว่ามีขนเป็นแผงยาวบนสันคอและสันหลัง
มีเขาทั้งในตัวผู้และตัวเมีย เขามีลักษณะตอนโคนกลมหยักเป็นวงแหวนโดยรอบค่อยๆ
เรียวไปทางปลายเขาโค้งไปทางด้านหลังเล็กน้อย
อุปนิสัย
ในเวลากลางวันจะพักอาศัยอยู่ในถ้ำ หรือในพุ่มไม้
ออกหากินในตอนเย็นถึงพลบค่ำและในเวลาเช้ามืด อาหารได้แก่พืชต่างๆ ทุกชนิด
เลียงผามีประสาทหู ตาและรับกลิ่นได้ดี ผสมพันธุ์ในช่วงปลายเดือนตุลาคม
ตกลูกครั้งละ ๑-๒ ตัวใช้เวลาตั้งท้องราว ๗ เดือน ในที่เลี้ยง เลียงผามีอายุยาวกว่า
๑๐ปี
ที่อาศัย
เลียงผาอาศัยอยู่ตามภูเขาที่มีหน้าผาสูงชันมีป่าปกคลุม
เขตแพร่กระจาย
เลียงผามีเขตแพร่กระจาย
ตั้งแต่แคว้นแคชเมียร์มาตามเทือกเขาหิมาลัยจนถึงแคว้นอัสสัม จีนตอนใต้ พม่า
อินโดจีน มลายู
และสุมาตราในประเทศไทยพบอาศัยอยู่ตามภูเขาสูงในหลายภูมิภาคของประเทศ เช่น
เทือกเขาตะนาวศรีเทือกเขาถนนธงชัย เทือกเขาเพชรบูรณ์ และภูเขาทั่วไปในบริเวณภาคใต้รวมทั้งบนเกาะในทะเลที่อยู่ไม่ห่างจากแผ่นดินใหญ่มากนัก
สถานภาพ
เลียงผาจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕
ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญาCITES จัดเรียงผาไว้ในAppendix I
อ้างอิง : http://www.fca16mr.com/webblog/blog.php?id=118
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น